bookmark_borderประโยชน์ของว่านหางจระเข้ 

ว่านหางจระเข้ที่เรารู้จักก็คือการที่เราโดนน้ำมันกระเด็นก็สามารถที่จะเอาว่านหางจระเข้มาพอกเพื่อที่จะช่วยในเรื่องของการลดอาการแสบหรือว่าพองได้นั่นเองเพราะว่าว่านหางจระเข้มีฤทธิ์ที่เย็นนั่นเองและเราสามารถที่จะเอามาช่วยในเรื่องของการมารักษาผิวของเราย่างเช่นใบหน้าของเรานั่นเองเพราะว่ายังช่วยในเรื่องของการอักเสบ

ดังนั้นเราการที่เราเพราะว่าเราจะเห็นได้ว่าเดี่ยวนี้แม้แต่เครื่องสำอางยังเอาใช้ในการผลิตเพื่อที่จะเป็นผลิตภัณฑ์เกี่ยวกับครีมทาผิว  หรือว่าครีมทาหน้านั่นเอง  

สรรพคุณของว่านหางจระเข้  

  • ในการที่เราเข้าหน้าหนาวเมื่อผิวของเราแตกเราสามารถที่จะเอาว่านหางจระเข้เข้ามาพอกที่หน้าได้นั่นเองและยังช่วยในเรื่องของการควบคุมความมันของใบหน้าอีกด้วย 
  • ลดสิว  ช่วยในเรื่องของการยับยั้งเกี่ยวกับการติดเชื้อ และยังช่วยในเรื่องของการลอกอาการอักเสบของสิวได้เป็นอย่างดีเพียงแค่เราลองเอาว่านหางจระเข้มาพอกตรงที่เป็นสิงจะเห็นได้ถึงความเปลี่ยนแปลงและเรายังถือว่าเป็นการรักษาแบบไม่ก่อให้เกิดการระคายเคือง นั่นเอง  
  • มีวิตามินบีสาม ช่วยในเรื่องของผิวขาว 
  • ช่วยในเรื่องของการรักษาลอยแผลเป็นต่างอย่างเช่นรอยสิว  รอยแผลจากการที่ถูกน้ำร้อนลวกอย่างนี้เป็นต้นเพียงแค่เรานำว่านหางจระเข้มาพอกเอาไว้นั่นเอง  

และในบางคนก็ยังช่วยในเรื่องของการที่จะว่านหางจระเข้เข้ามาเป็นตัวการในการที่จะเอามาทำเป็นของกินด้วยการเป็นวุ้นว่านหางจระเข้นั่นเอง ที่สามารถที่จะเอาใช้ได้ทั้งการรักษาภายนอกและยังสามารถที่จะกินได้อีกด้วยนั่นเอง  ดังนั้นเมื่อเรารู้อย่างนี้แล้วเราก็ควรที่จะนำมาปลูกเพื่อที่จะได้เห็นเกี่ยวกับประโยชน์ของว่านหางจระเข้ที่เราบอกเลยว่ามีสรรพคุณที่ล้นมากมายนั่นเอง  และเราก็สามารถที่จะปลูกได้ง่ายอย่างมาก  

         ในการที่เราเอามาใช้ในการรักษาเกี่ยวกับแผลสด เพราะว่าเราสามารถที่จะเอาพอกไว้ตรงที่เป็นแผลเพราะว่าจะช่วยในเรื่องของการสมานแผลให้หายและเร็วมากขึ้นนั่นเอง  

   ช่วยในเรื่องของการดับพิษร้อนเนื่องจากการที่เรารูสึกถึงอาการปวดแสบปวดร้อนเราก็ควรที่จะนำว่านหางจระเข้เอามาพอกเพื่อที่จะได้เป็นการดับพิษร้อนนั่นเอง  และเราจะไม่รู้สึกว่าแสบร้อนของแผลที่ช่วยได้  

    และเมื่อเราออกแดดเราก็จะเจอเกี่ยวกับการที่เราถูกแดดเผาการที่เรานำว่านหางจระเข้เข้ามาพอกก็จะช่วยให้ผิวที่โดนแดดรู้สึกดีขึ้นและก็ชุ่มชื้นมากขึ้นนั่นเอง  และอีกอย่างรอยไหม้จากการที่เราตากแดดก็จะค่อยจางหายไปพร้อมกับผิวที่ฟื้นฟูเหมือนเดิม

 

สนับสนุนเรื่องราวโดย  สมัครเว็บหวยฮานอย

bookmark_borderเพื่อการเจริญอาหาร หนึ่งในสรรพคุณของกัญชา

ไม่ว่ามันจะเป็นสิ่งผิดกฏหมายยังไงก็แล้วแต่ แต่เชื่อไหมละว่า กัญชานั้น ในสมัยก่อนนามาเป็นสมุนไพรใส่ในอาหารกันอย่างมากมาย จนต่อมาถึงจะถูกนับเป็นสิ่งผิดกฏหมาย นั้นทำให้การที่นำกัญชาไปผสมในอาหารแล้วจะถือเป็นการผิดกฏหมายทั้งจำทั้งปรับโดยทันที เพียงแค่มีในครอบครองก็โดนแล้วล่ะ ในสมัยที่ใช้ในการผสมอาหารได้นั้น

เป็นเพราะว่าการที่ใส่กัญชาลงในอาหารนั้น จะทำให้คนกินนั้นเจริญอาหาร พูดง่ายๆคือ ทำให้อยากทานอาหารนั้น ถึงขั้นอาจจะอยากสั่งทานอีก ซึ่งถือเป็นการทำให้คนทานติดอาหารของเรานั้นเอง ส่วนในเรื่องทานแล้วรู้สึกเพลิดเพลินนั้นก็อาจจะเกี่ยวข้องบ้าง แต่ถึงอย่างไรก็ไม่ได้มีการใช้กัญชาผสมในของกินมานานมากแล้ว ยกเว้นแต่ที่ตามงานปาร์ตี้จะมีพวกที่ทำเป็นเค้กบลาวนี่มาขายในงาน ซึ่งมันก็โด่งดังไปทั่ว จนในหนังหลายๆเรื่องก็นำมาเผยแพร่กันเป็นเรื่องปกติ

ในการวิจัยทางการแพทย์ก็ได้ระบุมาแล้วว่า ในใบกัญชานั้นก็มีสารบางชนิดที่สามารถส่งผลให้ผู้เสพหรือผู้ทานเข้าไปนั้นรู้สึกอยากอาหารนั้นเอง ถึงอย่างนั้นแล้ว มันก็ไม่ใช่สิ่งที่จะเอามาทำได้เป็นปกติหรอกนะ ทางการแพทย์ได้ทำการนำไปสะกัดทำเป็นส่วนผสมอาหารสำหรับให้เหล่าผู้ป่วยที่เกิดอาการไม่อยากอาหารไม่ว่าจะเป็นจากอะไรก็ตาม อย่างเช่นผู้ป่วยที่เป็นมะเร็งแล้วได้ทำคีโมนั้นจะมีอาการที่ไม่ดีนัก เช่นเจ็บปวดจากเคมีบำบัด แล้วก็เกิดอาการไม่อยากอาหาร คลืนไส้อาเจียน จึงต้องหาส่วนผสมที่ทำให้ผู้ป่วยเจริญอาหารมากขึ้น

แล้วก็ใช้เลย กัญชาคือคำตอบที่ดี ถึงแม้ว่ามันจะไม่ใช่ผลที่แรงอะไร แต่มันก็สามารถทให้ผู้ป่วยนั้นทานอาหารได้ ถือเป็นว่าการรักษาที่ดีสำหรับผู้ป่วยเลยล่ะ เพราะว่าการทานอาหารเป็นเรื่องสำคัญสำหรับวงการแพทย์มากๆ เพราะว่าถ้าไม่ทานอาหารอาจจะทำให้เป็นการทำให้อาการป่วยยิ่งรุนแรงจากการร่างกายขาดสารอาหารและทำให้ภูมิคุ้มกันลดลง เพราะฉะนั้นแล้ว จึงตตองหาทุกวิถีทางในการทำให้ผู้ป่วยยอมกินข้าว

ทางการแพทย์นั้นจำเป็นต้องใช้กัญชาในการผสมอาหารเรื่อยๆ เพราะฉะนั้นแล้วแสดงว่ากัญชานั้นได้ถูกใช้ในทางการแพทย์มาโดยตลอด นั้นก็แสดงว่ามีการปลูกกัยชาอยู่ตลอดด้วยเช่นกัน ตอนนี้กัญชาก็ถูกอนุญาติแล้ว ใครจะปลูกก็สามารถส่งทางการแพทย์ได้ ถือว่าเป็นสิ่งที่จำเป็นในวงการแพทย์อย่างมากนะ ขาดไม่เลยทีเดียว ดังนั้นแล้วควรจะมีคงส่งไปยังวงการแพทย์เยอะๆ คนไหนจะทำธุรกิจประเภทนี้รับรองได้ว่ามีที่ส่ง

 

 

ได้รับการสนับสนุนโดย  แทงหวยมาเลย์

bookmark_borderเวท กับ คาร์ดิโอ ควรทำอะไรก่อน

สำหรับใครๆที่กำลังเริ่มที่จะดูแลสุขภาพโดยการออกกำลังกายอาจจะสิ่งที่สงสัยกันอยู่แน่นอน และคำถามที่เรามักจะเจอบ่อยๆเลยก็มี เวท กับ คาร์ดิโอ ควรทำอะไรก่อน? ถ้าเล่นเวทอย่างเดียวจะเป็นอย่างไร? ถ้าเล่นคาร์ดิโออย่างเดียวจะเป็นอย่าง?

เดี๋ยวเราจะมาพูดถึงประสบการณ์ทั้งหมดที่ได้ลองมาแล้วนะคะ

ก่อนอื่นแล้วเราจะมาพูดถึงการออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอ การออกกำลังกายแบบคาร์ดิโอนั้นจะเป็นการออกกำลังกายที่หลายๆคนเลือกทำเพราะจะสามารถช่วยเผาผลาญไขมันออกจากร่างกาย ซึ่งจะต้องเป็นกีฬาประเภทที่ต้องอาศัยปอดเป็นอย่างมาก คาร์ดิโอนั้นมีหลากหลายชนิด วิ่ง ว่ายน้ำ เต้น โดยรวมแล้วกีฬาเกือบทุกประเภทถือว่าเป็นการเล่นคาร์ดิโอทั้งสิ้น ซึ่งการทำคาร์ดิโอให้ร่างกายดึงไขมันออกมาใช้เป็นพลังงานนั้นจะต้องมีอัตราการเต้นของหัวใจให้อยู่ในโซนที่2 หรือ เล่นประมาณ 30-45 นาทีขึ้นไป

หากเราทำคาร์ดิโออย่างเดียว ผลลัพธ์ที่ได้คือ ไขมันที่อยู่ในร่างกายเราจะหายไปจริง แต่หุ่นจะไม่เฟิร์ม เพราะการคาร์ดิโอนั้นได้ทำให้สูญเสียกล้ามเนื้อไปด้วย มาในส่วนของการเล่นเวท การเล่นเวทคือการสร้างกล้ามเนื้อ ซึ่งการเล่นจะมี 2 รูปแบบ คือ เวทแบบที่ต้องใช้อุปกรณ์ รูปแบบนี้จำเป็นต้องเข้าไปใช้บริการฟิตเนสหรือยิม และอีกรูปแบบคือ บอดี้เวท เป็นการใช้น้ำหนักในร่างกายของตัวเองในการเล่น

โดยรูปแบบนี้สามารถทำง่ายๆได้ที่บ้าน การเล่นเวทอย่างเดียวนั้นก็สามารถลดไขมันลงได้ เพราะอย่างที่ได้กล่าวไปว่าเวทคือการสร้างกล้ามเนื้อ แต่เราจะต้องเล่นเวทให้หนักพอที่จะสร้างเนื้อมาทดแทนไขมันได้เช่นกัน สำหรับคนที่เล่นเวทนั้นจะแตกต่างจากคนเล่นคาร์ดิโอตรงที่ ผู้ที่เล่นคาร์ดิโอจะสามารถออกกำลังกายได้นานกว่าเพราะ คาร์ดิโอนั้นฝึกความแข็งแรงของปลอด คนที่เล่นคาร์ดิโอจะสามารถกำหนดการหายใจของตัวเองได้ แต่ในผู้ที่เล่นจะไม่สามารถทนความเหนื่อยได้นาน

แต่จะมีพละกำลังที่มากกว่าผู้เล่นคาร์ดิโอมาก เพราะผู้ที่เล่นนั้นจะถูกฝึกฝนในเรื่องของการยกน้ำหนัก สุดท้ายแล้วนั้นถ้าจะให้เป็นผลดีควรที่จะเล่นทั้ง 2 อย่าง เพื่อให้ร่างกายเผาผลาญเขมันและสร้างกล้ามเนื้อมาแทนที่ แต่แล้วเราควรทำอะไรก่อนระหว่างเวท และ คาร์ดิโอ ต้องบอกเลยว่าควรที่จะเล่นเวทก่อนเพื่อให้ร่างกายมีความแข็งแรง เพราะถ้าหากคุณเล่นคาร์ดิโอก่อน จะทำให้รู้สึกเหนื่อย จนไม่อยากทำอะไรต่อแล้วหลังจากนั้น หรือถ้าคุณไม่อยากทำติดต่อกัน ก็ให้แบ่งเวลาทำเช้าและเย็น ซึ่งตรงนี้คุณก็สามารถกำหนดเองได้เลยว่าช่วงไหนจะทำอะไร เชื่อเถอะว่าคุณจะมีหุ่นที่สวยและสุขภาพดีขึ้น

 

สนับสนุนโดย  ติดเชื้อ HIVหายได้ไหม

bookmark_border“สลัด” ตัวร้าย ทานไม่ถูกก็อ้วนได้


มองเห็นผู้ใดซื้อสลัดมาทานปุบปับ พวกเราก็ทราบเลยว่าคนๆ นั้น คงกำลังดูแลรักษาสุขภาพร่างกายอยู่ อยากกระชับสัดส่วนรูปร่าง หรือลดหุ่นอยู่แน่ๆ แต่ว่าระหว่างที่มองเห็นคนๆ นั้นทานสลัดอยู่ ก็ทำให้เราฉุกคิดได้เลยว่า “ทานอย่างนี้ รับประทานอาหารเป็นจานๆ เลยก็ได้พี่” เพราะว่าแม้กระทั่งที่คนเรียกกันว่าสลัด ก็ไม่ใช่ว่าทุกสลัดบนโลกใบนี้จะทานแล้วซูบผอม งาม หุ่นดีกันทุกคน สลัดแบบไหนที่ผู้ที่กำลังไดเอทยู่ควรจะเลี่ยง มาดูกันจ้ะ

“สลัด” ทานผิดแนวทางก็อ้วนได้!

  • น้ำสลัดครีม
    น้ำสลัดมีให้เลือกทานเยอะแยะอย่างมากมายนับล้านสูตร แต่ว่าน้ำสลัดยอดนิยมเยอะที่สุดก็หนีไม่พ้น “สลัดครีม” ซึ่งองค์ประกอบของมันมีทั้งมายองเนส ครีมสลัด น้ำมัน น้ำตาล และก็บางสูตรมีชีสด้วย แน่ๆ ว่าให้พลังงานสูงขึ้นมากยิ่งกว่าน้ำสลัดอื่นๆ ยิ่งคนไหนกันแน่ที่ถูกใจราดน้ำสลัดเปียกๆ ยิ่งแล้วใหญ่ ทางที่ดีแปลงมาเป็นสลัดน้ำใส น้ำยำ หรือเพียงบีบมะนาว โรยเกลือ แล้วก็พริกไทยบางส่วน ก็อร่อยร่างกายแข็งแรงแบบเน้นย้ำๆได้เช่นเดียวกัน
  • เครื่องเคียงอย่ามากมาย
    ห้องอาหารที่ขายสลัดบางทีอาจเสิร์ฟขนมปังปิ้งมาให้ด้วย ซึ่งบนขนมปังอาจมีทั้งเนย และก็ชีสอยู่เยอะๆ นอกเหนือจากนั้นอาจมีเครื่องเคียงอื่นๆที่ข้างในร้านค้าขาย ดังเช่น ผักโขมอบชีส ไส้กรอกทอด มันฝรั่งทอด แล้วก็ฯลฯ ไม่ใช่ว่าพวกเราไม่ให้ทานเลย แต่ว่าได้โปรดกรุณาข่มใจไว้ทานสลัดจะดียิ่งกว่า เพราะเหตุว่าเครื่องเคียงพวกนี้นอกเหนือจากที่จะเป็นของกินเพิ่มพลังงานนอกจากไปจากสลัดที่พวกเราตั้งอกตั้งใจจะทานแล้ว ยังเพิ่มราคาค่ามื้อของกินนั้นให้สูงมากขึ้นไปอีกด้วย
  • โปรตีนแบบพอดิบพอดีๆ
    ใครอีกหลายๆคนไม่ได้ทานสลัดที่เป็นผักสิ่งเดียว เสริมโปรตีนที่มีคุณประโยชน์ต่อสุขภาพ และก็เพื่อความอิ่มท้องเข้าไปด้วย ซึ่งเกิดเรื่องที่ดีที่พวกเราไม่ขัด แต่ว่าต้องเป็นโปรตีนที่มีไขมันน้อย แล้วก็ผ่านการปรุงด้วยแนวทางนึ่ง ต้ม หรือปิ้งจะดีมากยิ่งกว่า ถ้าหากเป็นเนื้อย่างมันๆ ปลาที่มีไขมัน หรือเบคอน หมูแฮม ของกินพวกนี้เป็นโปรตีนที่มากับไขมันสูงทั้งหมด ด้วยเหตุผลดังกล่าวเลือกเป็น ไก่ต้ม ปลา(ไขมันน้อย) นึ่ง กุ้งต้ม หรือเห็ดปิ้งจะดียิ่งกว่า

เท่านี้สลัดของคุณก็จะดีต่อร่างกายแบบที่คุณตั้งอกตั้งใจแล้วล่ะจ้ะ ทราบเทคนิคแบบงี้แล้ว ทีหน้าจัดสลัดทานกันให้เต็มกำลัง ไม่ต้องกลัวอ้วนกันเลยนะ

bookmark_borderนอนน้ำลายไหลผิดปกติรึเปล่า

นอนน้ำลายไหลผิดปกติรึเปล่า

ไม่คุณจะอายุเท่าไหร่ หรือเพศไหน แน่นอนว่าทุกคนย่อมเคยมีประสบการณ์การนอนน้ำลายไหล ซึ่งพบว่ามีทั้งผู้ที่นอนน้ำลายไหลเป็นเรื่องปกติ และผู้ที่อาจจะมีอาการนอนน้ำลายไหลบ้างหากวันนั้นเหนื่อย โดยทั่วไปแล้วในขณที่เราตื่นอยู่นั้น ระบบการทำงานของน้ำลายจะผลติน้ำลายออกมาอยู่แล้ว 1-2 ลิตรต่อวัน และปริมาณน้ำลายที่ถูกผลิตออกมาขณะตื่นนั้นจะมากกว่าตอนที่นอนหลับเสมอ ซึ่งตอนหลับร่างกายของเราจะผลิตน้ำลายลดลงจนแทบเป็นศูนย์เลยทีเดียว

ในขณะที่เราตื่นอยู่เราก็สามารถที่จะควบคุมร่างกาย และควบคุมปริมาณน้ำลายในปากของเราได้ด้วยการกลืน แต่เมื่อเราหลับ ร่างกายเข้าสู่สภาวะพักผ่อน กล้ามเนื้อทั้งตัวและบนใบหน้าจากที่เคยทำงานเป็นระบบมีความตึงกล้ามเนื้อ เมื่อเข้าสู่สภาวะหลับกล้ามเนื้อต่างๆ ก็จะผ่อนคลายลง ปากของเราจะเผลออ้ากว้างออก น้ำลายที่สะสมอยู่ในปากจึงไหลออกมานอกปาก เพราะเราไม่ได้กลืนลงท้องเหมือนตอนตื่นนั่นเอง
นอนหลับน้ำลายไหล เป็นอาการที่ผิดปกติหรือไม่?

อันที่จริงแล้ว การนอนหลับ แล้วน้ำลายไหล ไม่ใช่อาการที่ผิดปกติแต่อย่างใด มักเกิดขึ้นเมื่อเราหลับลึก หลับสนิท ไม่ขยับตัว สังเกตได้จากวันที่เราเหนื่อยมากเป็นพิเศษ หรือผู้ที่ชอบนอนตะแคงข้าง ก็จะมีแนวโน้มในการนอนน้ำลายไหลมากกว่าคนอื่นๆ

แต่นอกจากนี้ยังอาจมีสาเหตุอื่นๆ ร่วมด้วย เช่น ผู้ป่วยโรคหวัดที่มีอาการคัดจมูก แล้วนอนอ้าปาก หรือผู้ป่วยที่มีปัญหาเกี่ยวกับระบบประสาท หรือกล้ามเนื้ออ่อนแรง อาจมีปัญหานอนหลับน้ำลายไหลได้เช่นเดียวกัน
วิธีลดอาการนอนหลับน้ำลายไหล
เนื่องจากการนอนน้ำลายไหลนั้นเป็นเรื่องธรรมชาติที่ทุกคนต้องเผชิญกันอยู่แล้ว จึงไม่ได้มีการรักษาที่ตายตัว หรือต้องรักษาเลย แต่มีเทคนิคที่พอจะช่วยได้ก็คือ การจัดวางท่านอน คือ ฝึกให้ตัวเองนอนในท่าหงายขึ้น หลีกเลี่ยงการนอนตะแครง และจัดหมอนให้สูงขึ้นมาเล็กน้อยเพื่อให้เวลานอน ศีรษะจะสูงขึ้นเล็กน้อยเพื่อกดบริเวณปากลง

bookmark_borderกินเจอย่างไรให้มีความสุข

เทศการกินเจ หลายๆ คน คงทราบกันดีว่าเทศกาลกินเจถือเป็นเทศกาลหนึ่งที่นิยมมากในไทย การทานเจถือเป็นการทานอาหารเพื่อสุขภาพและจัดเป็นทานอาหารประเภทชีวจิต หากกินติดต่อกันเป็นระยะเวลานาน จะช่วยให้ร่างกายของเรามีความสมดุลมากยิ่งขึ้น

เรามีเทศกาลกินเจหรือกินเจกันไปเพื่ออะไร
การกินโดยทั่วไปจะทานกันต่อเนื่องเป็นระยะเวลา 9 วัน สำหรับบางคนที่มีความจำเป็นต่างๆ หรือไม่สะดวกอาจจะปฏิบัติเพียง 3 หรือ 5 วัน ตามความสะดวก เพราะจุดประสงค์ที่แท้จริงของการกินเจหากแบ่งเป็นข้อใหญ่สามารถแบ่งได้เป็น 3 ข้อ คือ
1. กินเพื่อสุขภาพ
อาหารเจเป็นอาหารประเภทชีวจิต ยิ่งทานไปนานๆ ร่างกายของเราจะเกิดการปรับตัวให้อยู่ในสภาวะสมดุล จากนั้นจะขับพิษของเสียต่างๆ ในร่างกายออกมากจากร่างกายเราได้ ช่วยในการทำให้ระบบต่างๆ ในร่างกายมีเสถียรภาพขึ้น โดยเฉพาะระบบไหลเวียนโลหิต และระบบทางเดินอาหาร
2. กินด้วยจิตเมตตา
การทานอาหารในคนทั่วไปที่ไม่ใช่การทานเจ เป็นการทานอาหารที่ประกอบไปด้วยเลือดเนื้อของสัตว์ที่เป็นเพื่อนร่วมโลกของเรา ดังนั้นหากเราทานเจบ้าง ดังนั้นมนุษย์ผู้มีจิตเมตตา มีคุณธรรมและมีจิตสำนึกอันดีงามย่อมไม่อาจกินเลือดเนื้อของสัตว์เหล่านั้นซึ่งมีเลือดเนื้อจิตใจ และที่สำคัญมีความรักตัวกลัวตายเช่นเดียวกับคน ช่วงเทศกาลกินเจนี้จึงเป็นช่วงที่ดีที่เราจะมีจิตเมตตาต่อสัตว์เหล่านั้น
3. กินเพื่อเว้นกรรม
หากในทางธรรมแล้วเราจะทราบว่าการกิน ซึ่งอาศัยการฆ่าเพื่อเอาเลือดเนื้อผู้อื่นมาเป็นของเรา เป็นการสร้างกรรม แม้ว่าจะไม่ได้เป็นผู้ลงมือฆ่าเองก็ตาม การซื้อจากผู้อื่นก็เหมือนกับการจ้างฆ่าเพราะถ้าไม่มีคนกินก็ไม่มีคนฆ่ามาขาย กรรมนี้จะติดตามสนองเราในไม่ช้าทำให้สุขภาพร่างกายอายุขัยของเราสั้นลง เป็นบ่อเกิดของโรคภัยไข้เจ็บ เมื่อได้ทราบถึงเรื่องกฎแห่งกรรมนี้แล้ว จึงควรหยุดกินหยุดฆ่า หันมารับประทานอาหารเจ ซึ่งทำให้ร่างกายเติบโตได้เหมือนกัน โดยไม่เห็นแก่ความอร่อยช่วงเวลาสั้นๆ เพียงแค่อาหารผ่านลิ้นเท่านั้น

ข้อห้ามของการกินเจ
ถ้าใครที่กำลังจะเริ่มกินเจเป็นครั้งแรก ควรจะต้องศึกษาเอาไว้เพื่อเป็นแนวทางในการปฏิบัติ โดยข้อห้ามมีดังนี้
1. ห้ามกินผักฉุนหรือผักที่มีกลิ่นแรง ได้แก่ กระเทียม หัวหอม
2. ห้ามสูบบุหรี่,ยาเส้น,ของเสพติดมึนเมา และกินเหล้า เพราะเทศกาลกินเจนั้น เป็นช่วงที่เราต้องถือศีลไปด้วย
3. ห้ามกินเนื้อสัตว์ หรืออาหารที่มีส่วนผสมจากเนื้อสัตว์เป็นส่วนประกอบ อย่างเด็ดขาด
4. ห้ามกินอาหารรสจัด
5. ห้ามกินอาหารที่คนปรุงไม่ได้ถือศีลกินเจ
6. ถ้วยชามจะต้องไม่ปนกัน
7. ไม่ฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
8. แต่งกายด้วยชุดขาว
9. ห้ามพูดคำหยาบ โกหก ส่อเสียด หรือพูดจาเพ้อเจ้อ
10. ห้ามดื่มสุราและของมึนเมา ตลอดช่วงเวลา 9 วัน
11. ห้ามดับตะเกียงทั้ง 9 ดวง ในสถานที่อย่างศาลเจ้า โรงเจ โรงทาน หรือสถานที่อื่นที่จัดงานถือศีลกินเจ

คำแนะนำสำหรับผู้ที่ต้องการถือศีลกินเจ ต้องปฏิบัติตัวอย่างไร
1. งดอาหารรสจัด ซึ่งหมายถึงอาหารเผ็ด หวานมาก เปรี้ยวมาก เค็มมาก
2. รักษาศีลห้า
3. รักษาจิตใจให้บริสุทธิ์ รักษาอารมณ์
4. ทำบุญทำทาน
5. นุ่งขาวห่มขาว

bookmark_borderโรคไขมันพอกตับที่เราควรรู้

โรคตับแข็ง หรือโรคไขมันพอกตับ ที่เรารู้จักโดยทั่วไปนั้น ย่อมรู้ดีว่าหากเราเป็นแล้วไม่สามรถรักษาให้หายขาดได้ เราทำได้แค่คอยทายาตามแพทย์สั่งเพื่อประคับประคองอาการไว้เท่านั้น ซึ่งจะไม่ทำให้ผู้ป่วยมีอาการแย่ลงไปกว่าเดิมเพื่อลดอาการแทรกซ้อนจากโรคอื่นๆ

เราสามารถตรวจเลือดหาสารเคมีอื่นๆที่อาจจะก่อนให้เกิดโรคที่ร้ายแรงตามมาได้ ด้วยการวัดประสิทธิภาพในการทำงานซึ่งเป็นการเสียหายที่เกิดขึ้นกับตับของเรานั้นเอง

ทางแพทย์จะมีมาตราการส่วนใหญ่ในการตรวจสอบ เช่น เช็คด้วยการตรวจเลือดว่ามีอาการผิดปกติมากน้อยเพียงใด และยังมีการตรวจความผิดปกติของตับอีกด้วยซึ่งจะเห็นผลด้วยจากการดูค่าสารบิลิรูบิน ซึ่งเป็นตรวจความผอดปกติของเม็ดเลือดหรือเอนไซน์บางชนิด

การตรวจหาไวรัสตับอักเสบบี และไวรัสตับอักเสบเอ และซี โดยการที่วัดเอนไซม์ 2 ตัว นั่นก็คือ  SGOT (AST) และ SGPT(ALT) วึ่งหากมีความผิดปกติก็จะเป็นอาการของการเกิดเชื้อไวรัสตับอักเสบนั้นเอง

ตรวจการทำงานของไตจากการดูค่าครีเอตินิน ซึ่งช่วยวัดค่าการทำงานของไตว่าอยู่ในระดับไหน ซึ่งหากต้องมีการทดลองเหล่านี้ คาดได้ว่าเราอาจจะเป็นโรคตับขั้นรุนแรง

สำหรับการที่มีการตัดชิ้นเนิ้อของเราเพื่อไปตรวจสอบนั้น เป็นการตรวจเพื่อหาโรคอื่นๆและเป็นการยืนยันผลการวิจัยของแพทย์ผู้เชียวชาญและเพื่อช่วยรักษาโรคตับแข็งได้ทันท่วงที

สำหรับการเอ็กซเรย์ตับเพื่อเป็นการสแกนหาจุดบกพร่องของตับ จะทราบถึงสภาพของเนื้อเยื่อว่าตับอยู่ในระดับใดแล้ว การตรวจ อันตราซาวด์ (Ultrasound) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีที สแกน (CT Scan) การตรวจตับและม้ามด้วยรังสี (Radioisotope Liver/Spleen Scan) หรือไฟโบร สแกน (Fibro Scan)

การรักษาด้วยด้วยการใช้กล้อง เป็นวิธีที่ช่วยให้เห็นอวัยะที่เล็กที่สุดในช่องท้องของเราได้ เพื่อจะชข่วยให้เห็นตับของเราได้ชัดเจนในมุมของแพทย์มากที่สุด

bookmark_borderทำอย่างไร จึงจะออกกำลังกายให้เป็นนิสัย

ต้องยอมรับเลยว่าการออกกำลังกายเป็นประจำอย่างสม่ำเสมอในทุกๆ วัน คงเป็นเรื่องที่ยากลำบากสำหรับหลายๆ คน ด้วยเหตุผลมากมายเิกดขึ้นในใจเรา ไม่ว่าจะเป็น งานเยอะ เลิกงานก็เหนื่อยแล้ว กลับถึงบ้านก็ค่ำแล้ว ต่อให้คุณจะมีเหตุผลมากมาย แต่อย่างไรก็ตามการจะมีสุขภาพดีและรูปร่างที่ดี การออกกำลังกายให้เป็นนิสัยก็เป็นสิ่งที่ควรทำ และต้องทำไม่ให้เป็นเรื่องยาก…

เหตุผลที่ควรออกกำลังกายให้เป็นนิสัย
การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอสำหรับบางคน ถือเป็นเรื่องที่ง่าย ทำได้สบายๆ แต่เนื่องจากงานวิจัยหนึ่งซึ่งได้ทำการสำรวจว่าอะไรคือสิ่งที่เป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการออกกำลังกายในระยะยาว ซึ่งคำตอบที่ได้รับ ได้แก่

  • มีสุขภาพดี
  • รู้สึกดี
  • มีพลัง
  • สนุกกับการออกกำลังกาย
  • ถือว่าการออกกำลังกายเป็นเรื่องที่สำคัญที่สุดอันดับหนึ่ง
  • ทำให้นอนหลับสบาย
  • รู้สึกผ่อนคลาย
  • รู้สึกตื่นตัว
  • ควบคุมน้ำหนัก
  • รูปร่างดี

เริ่มออกกำลังกายให้เป็นนิสัย

  • ออกกำลังกายแบบที่คุณชอบ
    คุณสามารถเลือกออกกำลังกายในแบบที่ตัวคุณชอบได้ เช่น การเดิน วิ่ง ปั่นจักรยาน เต้นแอโรบิค เล่นเทนนิส เล่นแบดมินตัน ว่ายน้ำ หรือยกน้ำหนัก เพราะการที่ได้ออกกำลังกายในแบบที่ชอบจะสร้างแรงจูงใจให้คุณอยากทำ มากกว่าการออกกำลังกายตามที่คนอื่นแนะนำว่าดี โดยที่คุณไม่ได้รู้สึกสนุกกับการออกกำลังกายแบบนั้นเลย

 

  • ทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญ
    ไม่สร้างข้อต่อรองในการออกกำลังกายให้แก่ตนเอง ซึ่งการต่อรองหรือข้ออ้างที่พบบ่อย คือคำว่า ไม่มีเวลา แต่ถ้าคุณจัดลำดับให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสำคัญอันดับแรกๆ ของคุณ คุณไม่มีข้อ้างและจะสามารถหาเวลามาออกกำลังกายได้อยู่เสมอ เช่น ต้องออกกำลังกายก่อนไปทำงาน หรือหลังเลิกงาน

 

  • ออกกำลังกายเป็นสิ่งแรกในตอนเช้า
    การตื่นนอนตอนเช้าอาจเป็นเรื่องยาก แต่ถ้าคุณทำได้จะส่งผลดีต่อสุขภาพมากๆ และยิ่งคุณเริ่มต้นเช้าวันใหม่ด้วยการออกกำลังกาย ยิ่งจะทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้น โดยเริ่มแรกคุณอาจจะออกกำลังกาย 10 นาที ตอนตื่นนอน และเพิ่มเป็น 30 นาที ในเวลาต่อมา ซึ่งให้ทำทุกวันจนเป็นนิสัย รับรองว่าสุขภาพของคุณจะเปลี่ยนไปอย่างแน่นอน

 

  • ออกกำลังกายหลังเลิกงาน
    สำหรับผู้ที่ไม่สะดวกที่จะออกกำลังกายในตอนเช้า หลังเลิกงานถือเป็นเวลาที่ดี เพราะหลายคนที่ทำงานในเมืองอาจต้องเผชิญกับรถติดในช่วงเวลาเลิกงาน ให้คุณออกกำลังกายก่อนกลับบ้าน จะทำให้ได้ออกกำลังกายเป็นประจำจนเป็นนิสัยได้

 

  • ออกกำลังกายแม้ในวันที่ “เหนื่อยมาก”
    หลายคนเหนื่อยล้าจากการทำงาน และต้องการการพักผ่อน จนทำให้การออกกำลังกายเป็นเรื่องสุดท้ายที่นึกถึง เพราะคิดว่าการออกกำลังกายจะทำให้รู้สึกเหนื่อยมากกว่าเดิม แต่แท้จริงแล้วคุณอาจรู้สึกดีขึ้น ถ้าได้ออกกำลังกาย เนื่องจากการออกกำลังกาย ทำให้หายใจลึกขึ้น และทำให้ร่างกายใช้ออกซิเจนได้ดีขึ้น ซึ่งคุณจะรู้สึกสบายในตอนที่ออกกำลังกาย และหลังออกกำลังกาย อย่างไรก็ตาม ถ้าเพิ่งเริ่มออกกำลังกาย คุณอาจจะรู้สึกเหนื่อยเกินกว่าที่จะออกกำลังกายได้ แต่หลังจากที่คุณออกกำลังกายเสร็จ อาจทำให้คุณรู้สึกดีขึ้นกว่าเดิม

 

  • บันทึกการออกกำลังกาย
    การจดบันทึกเป็นสิ่งสำคัญ โดยอาจจดบันทึกเวลาที่ออกกำลังกายในแต่ละวัน หรือจำนวนครั้งที่คุณทำได้ รวมถึงระยะทางในการวิ่ง หรือจดบันทึกน้ำหนักตัวของคุณก็ได้ เพราะสิ่งเหล่านี้สามารถเป็นผลงาน ที่เป็นกำลังใจให้คุณรู้สึกอยากออกกำลังกายเป็นประจำต่อไป

 

  • ให้รางวัลตนเอง
    ผู้เชี่ยวชาญให้คำแนะนำว่า การเปลี่ยนแปลงนิสัยของตัวเองเป็นเรื่องที่ทำได้ยาก ซึ่งการได้รับรางวัลอาจเป็นแรงกระตุ้นให้เกิดการลงมือทำและทำจนกลายเป็นนิสัยได้ ดังนั้นการที่คุณตั้งเป้าหมายอะไรก็ตาม และสามารถบรรลุเป้าหมายหรือทำให้เป็นจริงได้ แล้วให้รางวัลตัวเองก็เป็นเรื่องที่ดี แต่อย่างไรก็ตาม ควรระวังรางวัลจำพวก อาหาร เพราะอาหารที่คุณให้เป็นรางวัลตัวเองนั้นอาจทำให้น้ำหนักตัวเพิ่มขึ้นอีกก็เป็นได้

bookmark_borderเล่นมือถือนานระหว่างนั่งส้วม เสี่ยงอะไรบ้าง

ด้วยยุคสมัยที่เปลี่ยนไป ผู้คนจึงมีพฤติกรรมติดมือถือมากขึ้น กระทั่งเวลาเข้าห้องน้ำหรือนั่งส้วม ก็ต้องพกมือถือเข้าไป และใช้เวลานานมากกับการเข้าห้องน้ำในแต่ละครั้ง เพราะมัวแต่เล่นมือถืออยู่นั่นเอง พฤติกรรมนี้เป็นกันทุกเพศ แต่จะพบในผู้หญิงมากกว่า ซึ่งรู้หรือไม่ว่าการนั่งส้วมนานๆ เนื่องจากเล่นมือถือนั้น เสี่ยงทำให้เกิดโรคได้

เพราะว่าภายในห้องน้ำมีเชื้อโรคอยู่แล้ว ยิ่งในห้องน้ำสาธารณะที่มีผู้คนเข้าไปใช้บริการจำนวนมาก ดังนั้นจึงควรทำธุระส่วนตัวของตนเองให้เรียบร้อย โดยเฉพาะในกรณีที่ถ่ายหนัก ก็ควรจะตั้งใจขับถ่ายให้เสร็จ ส่วนโรคที่เสี่ยงจะเกิดขึ้น หากคุณเป็นคนที่มีพฤติกรรม ชอบนั่งแช่เล่นมือถือในห้องน้ำ มีอะไรบ้างไปดูกัน

ท้องผูก
โดยปกติหากมีอาการท้องผูก ก็มักจะใช้เวลาในการเบ่งอุจจาระนานอยู่แล้ว ดังนั้นจึงแนะนำว่าถ้าหมดอาการปวดแล้ว ก็ควรออกจากห้องน้ำ เพื่อเปลี่ยนอิริยาบถท่าทางเสียก่อน ไม่ควรจะนั่งแช่ ไว้รู้สึกปวดใหม่ก็ค่อยมาเข้าห้องน้ำอีกรอบ ส่วนคนที่ไม่ได้มีอาการท้องผูก แล้วเอามือถือเข้าไปเล่นในห้องน้ำด้วย ทำให้ไปจดจ่ออยู่กับมือถือมากเกิน จนไม่ได้สนใจการเบ่งหรือขับถ่าย และอาการปวดก็หายไป กว่าจะปวดอีกบางทีอาจจะข้ามคืนเลยก็ได้ ฉะนั้นการเล่นมือถือตอนนั่งส้วม สามารถทำให้เสียสมาธิในการเบ่งถ่าย และนำไปสู่อาการท้องผูกได้

ท้องร่วง
โรคท้องร่วงที่เกิดขึ้นอาจไม่ได้เกี่ยวกับการนั่งนาน แต่เมื่อเราเอามือถือเข้าไปในห้องน้ำด้วย และมือก็ไปสัมผัสกับเชื้อโรคต่างๆ แล้วก็มาจับมือถือ หลังจากเสร็จธุระแน่นอนว่าเราต้องล้างมือ แต่อย่าลืมว่าเราไม่ได้ล้างมือถือด้วย ทำให้ตัวมือถือกลายเป็นพาหะนำเชื้อโรคได้ ดังนั้นเมื่อเราจับมือถือแล้วไปหยิบจับของกินเข้าปาก ก็อาจมีโอกาสที่เชื้อโรคจะเข้าสู่ร่างกาย จนทำให้เกิดอาการท้องร่วงได้นั่นเอง

เหน็บชา หน้ามืด
ไม่ว่าส้วมที่นั่งจะเป็นแบบนั่งยอง หรือชักโครก หากนั่งนานๆ เมื่อไหร่และไม่ได้ขยับเปลี่ยนอิริยาบถเลย แน่นอนว่าจะต้องเกิดอาการเหน็บชาตามมา โดยเฉพาะในผู้สูงอายุ ส่วนอาการหน้ามืด ก็เป็นผลมาจากการก้มเล่นมือถือ และนั่งส้วมเป็นเวลานาน พอจะลุกขึ้นหรือปรับเปลี่ยนท่า จึงทำให้มีอาการรู้สึกมึนงง โซเซ และวิงเวียน

ริดสีดวงทวารหนัก
ในการนั่งหย่อนก้นนานๆ จะทำให้มีเลือดไปคั่งอยู่ที่บริเวณหูรูดทวารหนัก บวกกับเบ่งอุจจาระก็จะทำให้มีเลือดไปคั่งมากขึ้น ดังนั้นหากกระทำซ้ำๆ ด้วยการนั่งแช่ เบ่งอุจจาระนาน และมีปัจจัยร่วมจากผู้ที่มีอาการท้องผูกด้วย ก็อาจทำให้เกิดริดสีดวงได้เช่นกัน

การเข้าห้องน้ำนั่งส้วม ไม่ควรนั่งนานเกิน 10-15 นาทีในกรณีถ่ายหนัก ส่วนกรณีปัสสาวะก็ควรทำธุระให้เสร็จเรียบร้อย และล้างมือให้สะอาดทุกครั้งหลังใช้ห้องน้ำ ไม่ควรพกมือถือเข้าไปเล่นห้องน้ำ เพราะจะทำให้เสียสมาธิในการเบ่งถ่าย และเป็นการเสียมารยาทด้วยหากคุณใช้บริการห้องน้ำสาธารณะ ที่มีคนต่อคิวใช้อีกเป็นจำนวนมาก

bookmark_borderการตรวจหาไขมันในเลือดสูง มีผลดีอย่างไร

ไม่ว่าจะเป็นโรคอะไรก็ตาม การตรวจหาย่อมดีกว่าเสมอ เพื่อจะได้รู้และรักษาได้ทันทั่วที ไขมันในเลือดสูง

โรคตับแข็งนั้นไม่สามารถที่จะรักษาให้หายขาดได้ทำได้เพียงแค่รักษาแบบประคับประคองเพื่อที่จะไม่ให้ผู้ป่วยมีอาการทรุดลงหรือแย่ลง และเพื่อลดโอกาศการเกิดสภาวะแทรดซ้อนการตรวจโรคตับแข็งนั้นมีหลายวิธีเราสามารถตรวจได้ ดังต่อไปนี้

การตรวจเลือด  คือการตรวจสารเคมีในเลือดของเราเพื่อที่จะวัดประสิทธิภาพในการทำงานและความเสียหายที่เกิดขึ้นกับตับของเราโดยมรการทดสอบดูได้หลายส่วน เช่น ตรวจดูการแข็งตัวของเลือดว่ามีอาการแข็งตัวผิดปกติหรือไม่ ตรวจการทำงานของตับว่าปกติหรือไม่จากการดูค่าสารบิลิรูบิน ที่เกิดจจากการแตกตังของเซลล์เม็ดเลือดแดงหรือเอนไซน์บางชนิด การทดสอบหาโรคไวรัสตับอักเสบบี เอ และซี โดยการที่วัดเอนไซม์ 2 ตัว นั่นก็คือ  SGOT (AST) และ SGPT(ALT) ซึ่งค่าที่ตรวจนั้นถ้าหากขึ้นว่าเกิดมาตฐานจะแสดงหรือบ่งบอกว่าเกิดอาการอักเสบของตับ เนื่องมาจากโรคไวรัสตับอักเสบหรือตับอักเสบเกิดจากสาเหตุอื่น ๆ รวมไปถึงตรวจการทำงานของไตจากการดูค่าครีเอตินิน ซึ่งช่วยวัดค่าการทำงานของไตว่าอยู่ในระดับไหน หากมีระดับที่ลดลงอาจหมายถึงเริ่มมีอาการของโรคตับแข็งระยะสุดท้าย

การตัดชิ้นเนื้อเพื่อไปตรวจสอบ เป็นการนำตัวอย่างเนื้อเยื่อตับบางชิ้นส่วนของเราไปตรวจสอบที่ห้องปฏิบัติการ เพื่อยืนยันผลการวิจัยของแพทย์ผู้เชียวชาญและเพื่อช่วยรักษาโรคตับแข็งได้ทันท่วงที

การตรวจสแกนตับ เป็นการเอ็กซเรย์ตับ เพื่อดูภาพภ่ายเอกซเรย์ ดูสภาพของเนื้อเยื้อว่าเกิดรอยแผลหรือเกิดพังผืดขึ้นหรือไม่ ด้วยการตรวจ อันตราซาวด์ (Ultrasound) เอกซเรย์คอมพิวเตอร์หรือซีที สแกน (CT Scan) การตรวจตับและม้ามด้วยรังสี (Radioisotope Liver/Spleen Scan) หรือไฟโบร สแกน (Fibro Scan)

การผ่าตัดด้วยกล้อง ในส่วนการผ่าตัดด้วยกล้องนี้ บางกรณีอาจที่จะต้องใช้การผ่าตัดด้วยการส่องกล้องบริเวณช่องท้องเพื่อให้เห็นตับทั้งหมดได้ชัดเจนมากขึ้น